บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ [2]


มาถึงตอนที่พระยามารและลูกสาวทั้ง 3 ตนมาขัดขวางเจ้าชายสิทธัตถะ

ตอนนี้เป็นตอน สำคัญที่พระอาจารย์บางท่านตัดออกเสียหมด เพราะท่านไม่รู้เรื่องกายในกายว่ามีกันอย่างไร

ท่านก็คิดเอากายมนุษย์ของพระสิทธัตถราชกุมาร ที่นั่งอยู่โคนไม้ศรีมหาโพธิ ไม่พอกับช้างของพระยามารซึ่งสูงตั้ง ๑๕๐ โยชน์ ท่านก็เลยตัดเรื่องมารประจญออกหมด

หาว่า พระอรรถกถาจารย์แต่ก่อน ยกย่องพระพุทธเจ้าเกินความเป็นจริงไป เห็นว่าพระพุทธเจ้าก็คนอย่างเรา ไม่มีอภินิหารวิเศษอะไร

เรื่องการตีความใหม่ให้กับพุทธประวัติในช่วงนี้ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 4  ผู้ที่ตีความใหม่เป็นคนแรกเลยก็คือ พระวชิรญาณภิกขุ ซึ่งต่อมาก็คือ รัชกาลที่ 4 นั่นแหละ

สาเหตุก็คือ ได้รับความรู้ใหม่คือ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งดูแล้วทันสมัยก้าวหน้ากว่า  ก็เลยไม่เชื่อคำสอนในพระไตรปิฎก ที่ไม่สามารถเข้ากับวิทยาศาสตร์ได้

ท่านก็คิดเป็นปุคคลาธิษฐาน ธัมมาธิษฐานอะไรของท่านไป หาว่าลูกสาวพระยามาร ๓ คนนั้น เป็นจิตของพระองค์คิดขึ้นต่างหาก

เมื่อนางตัณหาเข้ามาประเล้าประโลมนั้น หาว่าเป็นจิตของพระองค์ที่คิดอยากจะกลับเข้าไปครอบบ้านครองเมือง,

เมื่อนางราคาเข้ามาประเล้าประโลมนั้น ก็หาว่าจิตของพระองค์หวนคิดถึงพิมพา ราหุล,

เมื่อนางอรตีเข้ามาประเล้าประโลมนั้น ก็หาว่าจิตของพระองค์คิดอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อพระองค์ได้ขับไล่นางทั้งสามให้หนีไปแล้วก็ว่าเท่ากับพระองค์เลิกคิด,

เมื่อนางทั้งสามกลับไปกันแล้ว พระยามารก็ยกกองทัพเข้ามา ก็ (ว่า) เท่ากับจิตของพระองค์เกิดฟุ้งซ่านด้วยนิวรณ์ ๕ ประการ

พระยามาร นางตัณหา นางราคา นางอรตีนั้นมีจริงๆ เป็นมารกายละเอียด พระยามารตนนี้ ไม่ถือว่า เก่งกาจอะไรนัก ยังมีมารที่เก่งกว่านี้อีกมาก

เรื่องมารนี้ พวกวิทยากรของคุณลุงรู้จักกันดี  ผมนี่ก็ค่อนข้างจะรู้จักดีเป็นกรณีพิเศษ

ของท่านก็เข้าที น่าให้คิดแบบนั้นเหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องกายในกายก็ต้องคิดไป อย่างนั้น เพราะช้างคิริเมขลมหาคชสารนั้นสูงถึง ๑๕๐ โยชน์ และต้นโพธิที่พระองค์นั่งสูงเพียง ๑๒๐ ศอก เป็นเส้นหนึ่งกับสิบวาเท่านั้น จึงไม่พอกัน

ข้าพเจ้า (พระครูวินัยธร ชั้ว) จึงลองย่นสเกลดู ย่นโยชน์ลงเป็นเซนติเมตร เขียนรูปช้างสูง ๑๕๐ เซนติเมตร เฉพาะเล็บช้างวัดได้ ๕ เซนติเมตร

แล้วช้างคิริเมขลสูงถึง ๑๕๐ โยชน์ ขยายเล็บออกไปได้ ๕ โยชน์ เมื่อพระยามารขี่แล้วไส (ช้าง) เข้ามาจะชิงบัลลังก์นั้น

ถ้าพระองค์แลด้วยมังสะจักษุ (ตากายมนุษย์) ของพระองค์แล้ว อย่าว่าแต่เห็นหน้าพระยามารหรือหน้าช้างเลย เพียงแต่ครึ่งเล็บช้างก็ยังมองไม่เห็นเลย

เพราะตากายมนุษย์แลเห็นเพียงโยชน์เดียวเท่านั้น เล็บช้างตั้ง ๕ โยชน์ แล้วเป็นของทิพย์ด้วยจะไปแลเห็นได้อย่างไร

ตรงนี้ ขอแก้ข้อมูลของหลวงปู่ชั้วนิดหนึ่ง หลวงปู่คงไม่ว่าอะไร ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่า สายตาของคนมองได้ไกลกว่า 1 โยชน์ คือมองไปได้หลายปีแสงเลยทีเดียว

ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น พระองค์ไม่ได้แลเห็นด้วยตากายมนุษย์ พระองค์เห็นด้วยตากายอรูปพรหม เป็นสมันตจักษุ เลยทิพยจักษุ เลยปัญญาจักษุ เข้าไปจวนถึงพุทธจักษุ เป็นอจินไตย์อยู่แล้ว

อย่าว่าแต่ช้างคิริเมขลตัวเดียวเลย ถึงจะซ้อนกันขึ้นไปอีกสักกี่ตัว ก็ยังต่ำกว่าบัลลังก์ที่พระองค์นั่งเสียอีก เพราะพระยามารและเสนามารที่เข้ามาประจญนั้น ล้วนแต่เป็นกายทิพย์กันทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าปะทะด้วยกายอรูปพรหม เป็นอจินไตยกว่า ละเอียดกว่า สูงกว่า พวกกายทิพย์ก็สู้ไม่ได้ ถึงพระพุทธเจ้าภาคดำจะขัดขวางอย่างไร พระพุทธเจ้าภาคขาว (ต้นธาตุต้นธรรม) ของพระพุทธเจ้าก็คอยปะทะไว้เหมือนกัน

ของมีตัวจริงทั้งนั้น เช่นพระยามาร เสนามาร ลูกสาวพระยามาร ก็ล้วนมีตัวตนอยู่ทั้งนั้น แต่เป็นกายทิพย์ ตามนุษย์เรามองไม่เห็น

ต้องทำให้ถึงทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ หรือสมันตจักษุ จึงจะแลเห็น เพราะเป็นของละเอียด ยิ่งกายพระพุทธเจ้า (ธรรมกาย) ด้วยแล้ว ต้องมองด้วยพุทธจักษุจึงจะเห็น

ที่อาจารย์บางท่านแต่งกันขึ้นใหม่ๆ ประมาณสัก ๔๐ ปี มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๐ มานี้ได้ตัดอภินิหาร ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าออกหมดนั้น เพราะไม่รู้เรื่องกายในกายนั่นเอง จึงได้ตัดบารมีอภินิหารออกหมด

ทำเอาแบบแผนของจริงเลอะเลือนไปไม่ใช่น้อย ความจริงที่พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้นั้น ก็ยังไม่ละเอียดเท่าความเป็นจริงเสียอีก ท่านย่อ ๆ ไว้เท่านั้น

ถึงข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ก็ต้องย่อไว้เหมือนกัน จะเขียนให้ละเอียดเต็มที่ก็ไม่ไหว เรื่องของท่านละเอียดนัก

ทีนี้ จะกล่าวเมื่อพระยามารพ่ายแพ้ไปแล้ว กายธรรมกายก็เกิดขึ้นในกลางดวงจตุตถมรรค ในกลางกายอรูปพรหม (กายที่ ๘) ของพระสิทธัตถะราชกุมาร

กายนี้เหมือนพระพุทธรูป เกตุแหลมเป็นดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว กายนี้เป็นกายที่ ๙ ของพระสิทธัตถะราชกุมาร กายนี้แลเป็นกายพระพุทธเจ้า

พอเข้าถึงกายนี้เรียกว่า โคตรภูญาณ ระลึกชาติหนหลังได้แล้ว เข้ากายไปร้อยกายพันกาย ก็ระลึกชาติได้ร้อยชาติพันชาติ เข้าไปได้หมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติได้ร้อยชาติพันชาติ เข้าไปได้หมื่นกายแสนกาย ก็ระลึกชาติได้หมื่นชาติแสนชาติ

เข้าไปจนนับกายไม่ถ้วนก็ระลึกชาติได้นับไม่ถ้วนเหมือนกัน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนก็ไปพบปะกันหมด ไปพูดจาปราศรัยกันได้หมดทั้งภาคขาว ภาคกลาง ภาคดำ

ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมสักนิดหนึ่ง

นักวิชาการจำนวนมาก มันจะเข้าใจผิดไปว่า พระพุทธเจ้ามีองค์เดียว  เป็นการเข้าใจผิดแบบโง่ๆ บ้าง แบบเชื่อไปตามวิทยาศาสตร์

ที่ต้องกล่าวอย่างนั้น เพราะ ในพระไตรปิฎกมีคำว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่เป็นจำนวนมาก พูดในแง่ภาษาศาสตร์ก็คือ ใช้คำว่า พระพุทธเจ้าแบบพหูพจน์เป็นจำนวนมาก

พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อยู่ที่ไหน 

อายตนะนิพพานนั้น มีแห่งเดียว แต่แบ่งแยกย่อยภายในหลากหลายรูปแบบมาก  นิพพานเป็นก็อยู่ในนั้น  นิพพานของจักรพรรดิก็อยู่ในนั้น นิพพานกายธรรมอย่างเช่นพระพุทธเจ้าเราก็อยู่ในนั้น

รู้เพียงแค่นี้ก็พอ อย่าไปอยากรู้ละเอียดเหมือนภพ 3 เพราะ ไม่เป็นอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าของเรานี่ อยู่ชั้นต่ำสุด  เมื่อเราไปถึงพระพุทธเจ้าของเราแล้ว อยากจะเข้าไปหาพระพุทธเจ้าก่อนหน้านี้  เราต้องทำแบบนี้

เราต้องลำดับดวงธรรม 6 ดวงในท้องของพระพุทธเจ้า  เมื่อทำเสร็จแล้ว เราก็จะไปถึงอายตนะนิพพานที่ 2 คือ นิพพานของพระกัสสปพุทธเจ้า

เราก็จะเห็นกายธรรมพระอรหัตเต็มไปหมด นิพพานจะสว่างด้วย รัศมีของกายธรรม พระกัสสปพุทธเจ้าจะประทับนั่งอยู่กลาง รัศมีสว่างกว่าพระสาวก

เราก็ต้องเอาใจของเรา เข้าไปตามฐานที่ 1-2-3 และ 7 ของพระกัสสปพุทธเจ้า แล้วเอาดวงธรรมของเรากับของพระองค์ซ้อนกัน  จะทูลถามอะไรก็เชิญ  อยากจะไปหาพระโกนาคมนพุทธเจ้า ก็ลำดับดวงธรรม 6 ดวงอีก 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น