บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ [3]

มาถึงตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เมื่อเข้าถึงกายธรรมกายโคตรภูนี้แล้ว ก็พิจารณาเห็นอริยสัจทั้ง ๔

เห็นกายมนุษย์ เป็นทุกข์ ด้วยเกิด แก่ เจ็บ ตาย,
เห็นกายทิพย์ เป็นสมุทัย เที่ยวหาที่เกิดไม่สิ้นสุด,
เห็นกายรูปพรหมกับกายอรูปพรหม เป็นนิโรธ เพื่อดับทุกข์,
เห็นธรรมกาย เป็นมรรค เพื่อหลีกออกจากทุกข์ แล้วก็เดินสมาบัติ พิจารณาอริยสัจทั้ง ๔

ข้อความตรงนี้จะเห็นว่า อธิบายได้ชัดเจนที่สุดในเรื่องการพิจารณาอริยจสัจ 4  ไม่มีนักปริยัติ หรือสายปฏิบัติธรรมอธิบายได้ชัดแจ้งอย่างนี้อีกแล้ว

ประการสำคัญที่สุดก็คือ มีความสอดคล้องเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน

วิชาธรรมกายนั้น ตั้งแต่หลักสูตรเริ่มต้น จนบรรลุพระอรหันต์ไม่มีความขัดแย้งกันในคำอธิบายและวิธีการปฏิบัติ

ขอยกตัวอย่างเรื่องการปฏิบัติของพระพม่า  พระพม่า “รู้สึกตัว” ตลอดเวลา ด้วยการพิจารณาอยู่กับร่างกายตนเอง รวมถึงจิตใจความคิด

แต่พออธิบายถึงการปฏิบัติธรรมในขั้นสูงเข้า  กับไม่มีการปฏิบัติแบบพื้นฐาน ที่ให้คงความรู้สึกกับตัวเอง กลับมั่วไปขโมยญาณ 16 ของคัมภีร์วิสุทธิมรรคมาอธิบายมั่วไปหมด

ที่เรียกว่า “สมาบัติ” นั้น ก็คือรูปฌาน อรูปฌานนั่นเอง แต่เดินคนละกาย รูปฌาน อรูปฌานนั้น เดินด้วยกายรูปพรหมและกายอรูปพรหม ซึ่งเป็นกายโลกีย์ จึงเรียกว่า ฌานโลกีย์

แต่รูปสมาบัติ อรูปสมาบัตินั้น เดินด้วยกายธรรมกาย เป็นกายโลกุตตระ จึงเรียกว่า ฌานโลกุตตระ

แล้วเอากายธรรมกายโคตรภูเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรื่อยไป จนธรรมกายตกสูญแล้วเกิดธรรมกายขึ้นใหม่ใสละเอียดกว่าเก่า

นี้เป็น นิโรธ เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์หยาบ เมื่อถึงธรรมกายแล้ว จึงเป็นนิโรธเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ละเอียดจริงๆ

ที่ เรียกว่า “ตกสูญ” นั้น คือเดินสมาบัติหนักเข้าจนธรรมกายนั้นใส แล้วดับลงมาเป็นดวงกลมใสขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่อยู่ที่เหนือสะดือสองนิ้ว มือ อย่างนี้เรียกว่าตกสูญ

แล้วก็เกิดขึ้นเป็นธรรมกายใสสะอาดดีกว่าเก่า แล้วก็เดินสมาบัติให้ตกสูญ แล้วเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงกายพระโสดาปัตติมรรค

แล้วเอากายพระโสดาปัตติมรรคเดินสมาบัติพิจารณาอริยสัจทั้ง ๔ ให้ตกสูญแล้วเกิดขึ้นใหม่

ตรงนี้จะเห็นว่า การปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกายมีความคงที่ คือ ต้องทำให้เห็นดวงธรรม แล้วเข้ากลางดวงธรรมก็จะไปเกิดกายละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ

กิเลสและสังโยชน์จะอยู่ตามกาย เมื่อหลุดจากกายนั้น กิเลสหรือสังโยชน์ก็หลุดไป นี่ก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล และสามารถปฏิบัติตามได้

จนเข้าถึงกายพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่หนึ่ง เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิ่งกว่าปุถุชนหรือโคตรภูบุคคล [เป็นกิจ ๔]

แล้วเอาธรรมกายพระโสดาปัตติผลเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแล้วเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงกายพระสกิทาคามิมรรค

แล้วเอาธรรมกายพระสกิทาคามิมรรคเดินสมาบัติดูทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแล้วเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงกายพระสกิทาคามิผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่สอง

เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิ่งกว่าพระโสดาบัน [รวมเป็นกิจ ๘]

แล้วเอากายพระ สกิทาคามิผลเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนตกสูญแล้วเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงธรรมกายพระอนาคามิมรรค

แล้วเอาธรรมกายพระอนาคามิมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญแล้วเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงธรรมกายพระอนาคามิผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่สาม

เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิ่งกว่าพระสกิทาคามี [รวมเป็นกิจ ๑๒]

แล้วเอาธรรมกาย พระอนาคามิผลเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงธรรมกายพระอรหัตมรรค

แล้วเอาธรรมกายพระอรหัตมรรคเดินสมาบัติดู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตกสูญเกิดขึ้นใหม่ จนเข้าถึงธรรมกายพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่สี่

เห็นอริยสัจทั้ง ๔ ละเอียดชัดเจนยิ่งกว่าพระอนาคามี [รวมเป็นกิจ ๑๖] เรียกว่า โสฬสกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ ไม่ต้องทำกิจอีกต่อไป

พอเข้าถึงธรรมกายพระอรหัต ก็รู้ชัดว่าพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสงสัย กายทั้ง ๑๘ กายนี้เป็นกายโลกีย์เสีย ๘ กาย ตั้งแต่กายมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม และกายอรูปพรหม ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้ง ๘ กายนี้ถึงจะเข้าฌานด้วยกายไหนก็เป็นฌานโลกีย์ทั้งสิ้น

กายธรรมกายตั้งแต่โคตรภูเข้าไปจนถึงธรรมกายพระอร หัตแล้วธรรมกายในธรรมกายพระอรหัตเข้าไปอีก เป็นกายเถา กายชุด กายชั้น กายตอน กายภาค กายพืด กายพืดในกายพืด จนนับอสงไขยไม่ถ้วน นี้ล้วนแต่เป็นกายโลกุตตระทั้งนั้น

จะเข้าฌานด้วยกายไหนก็เป็นฌานโลกุตตระทั้งนั้น ถ้าจะเข้านิพพานก็เข้าด้วยกายโลกุตตระ ทิ้งกายโลกีย์ไว้ในภพสาม

ถึงกายโลกีย์ก็ต้องทิ้งกันเป็นชั้นๆ ไปเหมือนกัน เช่นจะไปเกิดในสวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย ก็ต้องถอดเอากายมนุษย์ละเอียด (ซึ่งมีกายทิพย์ซ้อนอยู่) ไปเกิด (ถ้ากำลังแสวงหาที่เกิดก็เรียกว่า กายสัมภเวสี, ถ้าหาที่เกิดได้แล้ว เรียกว่า กายทิพย์)

ทิ้งกายมนุษย์หยาบไว้ในโลกมนุษย์ ส่วนใจ จิต วิญญาณของมนุษย์ก็ดับอยู่กับกายมนุษย์นั้นแล

ถ้าได้รูปฌาน จะไปเกิดในพรหมโลก ก็ต้องถอดเอากายรูปพรหมไปเกิด ทิ้งกายทิพย์ไว้ในเทวโลก ส่วนใจ จิต วิญญาณของกายทิพย์ก็ดับอยู่กับกายทิพย์นั้นแหละ

ถ้าได้อรูปฌาน จะต้องไปเกิดในอรูปภพ ก็ต้องถอดเอากายอรูปพรหมไปเกิด ทิ้งกายรูปพรหมไว้ในพรหมโลก ส่วนใจ จิต วิญญาณของรูปพรหมก็ดับอยู่กับกายรูปพรหมนั้นแหละ

ถ้าจะลงมา เกิดในมนุษย์อีก ก็ต้องเข้าซ้อนในกายรูปพรหม แล้วเข้าซ้อนในกายทิพย์ แล้วเข้าซ้อนในกายมนุษย์ (ละเอียด-หยาบ) ในครรภ์มารดาตามเดิม

ถ้าจะ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นกายสัตว์อยู่แต่ข้างนอก กายข้างในของมันก็มีกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรม เหมือนมนุษย์เราเหมือนกัน

ตรงนี้ขอยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ  สัตว์มี 18 กาย กายละเอียดก็เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่กายนั้นดำ ไม่ใสสว่าง  ดังนั้น วิชาธรรมกายจึงสามารถคุยกับสัตว์ได้

วิธีการก็คือ  เราก็เอาใจของเราไปตามฐาน 1-2-3 และ 7 ของสัตว์  เมื่อไปเห็นกายฝันหรือกายสัตว์ละเอียดแล้ว [ถ้าเป็นมนุษย์คือกายมนุษย์ละเอียด] ก็เข้าไปหาดวงธรรมของกายนั้น

ต่อไปก็เอาดวงธรรมของเราที่ประกอบไปด้วย เห็น จำ คิด รู้ ไปรวมกับดวงธรรมของสัตว์นั้น ให้เป็นดวงเดียวกัน แล้วก็พูดคุยซักถามกันได้

ถ้าใครทำวิปัสสนา เข้าถึงธรรมกายแล้วไปถามบุรพกรรมของสัตว์เหล่านั้นดูได้ ว่าทำ บุรพกรรมอย่างไรจึงได้เกิดเป็นสัตว์ กายในของมันจะบอกให้ฟังอย่างละเอียดลออ

ไม่ว่าสัตว์ชนิดใดบอกได้หมดทุกตัว เพราะกายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมนั้นไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ มีแต่เกิดเท่านั้น มันก็จำชาติหนหลังได้

ส่วนกายมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน มันมีทั้งเกิด ทั้งแก่ ทั้งเจ็บ ทั้งตาย มันก็จำชาติหนหลังไม่ได้


ข้อความสุดท้ายนี้ ผมก็เพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมนุษย์จึงจำชาติเดิมๆ ไม่ได้  ยกเว้นบางคนที่สามารถระลึกชาติได้ 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น