บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิปัสสนาของหลวงปู่ชั้ว

คำว่า “วิปัสสนาของหลวงปู่ชั้ว” ก็คือการปฏิบัติธรรมของวิชาธรรมกายนั่นแหละ แต่ในเมื่อหลวงปู่ชั้วท่านเป็นผู้เขียน  จึงต้องตั้งชื่อแบบนั้น  หลวงปู่ชั้ว ท่านเขียน ไว้ดังนี้

บทความก่อนหน้านี้ หลวงปู่ชั้วบอกมาก่อนแล้ว ถ้าใครอยากจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ก็ให้ทำตามนี้ และก็ยืนยันไปแล้ว วิชาธรรมกายอธิบายสติปัฏฐาน 4 ได้ดีที่สุด ไม่มีนักวิชาการหรือสายปฏิบัติธรรมอธิบายได้ดีเท่านี้อีกแล้ว

ถ้าผู้ใดจะทำทางวิปัสสนา

ให้ตั้งกายให้ตรง ทำสติไว้เฉพาะหน้า ไม่ให้เผลอ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่าให้เกยกันมาก แต่พอหัวแม่มือซ้ายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แล้วหลับตาภาวนาว่า “สัมมาอะระหัง

หลับตาแล้วมันมีกลเม็ดอยู่อย่างหนึ่ง คือเหลือบตาขึ้นข้างบนเหมือนอย่างไปข้างหลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ

เพราะมันเป็นรูกลวงลงไป ตั้งแต่เพดานจนถึงสะดือ สุดลมหายใจที่อยู่เพียงสะดือตรงนั้น เรียกว่า “ที่สิบ” เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า “ที่ศูนย์” เป็นที่ตั้งสติ

หลวงปู่ชั้วไม่ได้เรียนบาลี แต่อธิบายได้ดีกว่าพวกเปรียญเก้าเสียอีก ที่ศูนย์ นั้นก็คือ ฐานที่ 7 ที่หลวงปู่ชั้วกล่าวว่า “เป็นที่ตั้งสติ” ก็ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า “สติปัฏฐาน”

เอาเห็น จำ คิด รู้ ทั้งสี่นี้ลงไปหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น เพราะที่ตรงนั้นมีดวงธรรมประจำอยู่ทุกคน

ธรรมดวงนี้ สำหรับทำให้เกิดเป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงจากไก่ สว่างเหมือนแสงไฟ

ให้ลงไปนิ่งนึกอยู่แต่ตรงนั้น อย่าไปทางไหน ดินถล่มฟ้าทลาย คอขาดบาดตายก็อย่าตกใจ ให้นิ่งแน่นอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือนั้นให้ได้

ซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่ไป ล่างบน ไม่ไป นิ่งอยู่กึ่งกลางกาย ข้างใน ข้างนอก อย่าออกไป ถ้าออกข้างนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สว่างได้ ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่วิปัสสนา

วิปัสสนูปกิเลสนี้ เป็นของภาคดำ ไม่ใช่ของภาคขาว

เมื่อกายสงบดีแล้ว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นั่นเป็น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เมื่อเกิดความสุขกายขึ้น เป็น เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน,

ถ้าเกิดแสงสว่างขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญ่ก็ตาม ประมาณสักเท่าดวงดาวหรือไข่แดงของไก่ เป็นอุคคหนิมิตขึ้นอย่างนั้นแล้ว รักษาไว้ นี่เรียกว่า ปฐมมรรค  ถ้าใสอย่างกระจกส่องหน้าอย่างนั้นหละเป็น ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

จากคำอธิบายของหลวงปู่ชั้วจะเห็นว่า ในสติปัฏฐาน 4 ถึงช่วงนี้ วิชาธรรมกายทำไปได้ 3 ประการแล้ว เหลือแค่ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การเห็น “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ก็เป็นการเห็นผ่านจิต/ใจ/วิญญาณ ดังนั้น การปฏิบัติแค่นี้ ของวิชาธรรมกายก็เข้าหลักสติปัฏฐาน 4 จนครบสมบูรณ์แล้ว แต่เป็นเบื้องต้นเท่านั้น

ถ้าขยายเป็นปฏิภาคออกไปใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้น เหมือนอย่างกายมนุษย์เราไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด

กายนี้สำหรับไปเกิดมาเกิด กายนี้ถ้าหลุดจากกายมนุษย์หยาบเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น

แต่ต้องพูดถึงกายนี้ให้รู้เรื่องกันเสียก่อน เพราะเป็นกายไปเกิดมาเกิด เป็นกายสมุทัย

กายนี้ เมื่อมาเกิดเข้าครรภ์บิดามารดานั้น สูงถึงแปดศอก มาเข้าครรภ์บิดาก่อน ถ้าจะเป็นหญิงก็เข้าทางช่องจมูกซ้าย ถ้าจะเป็นชายก็เข้าทางช่องจมูกขวา เข้าไปอยู่เหนือศูนย์สะดือสองนิ้วมือของบิดาก่อน

แล้วมารดาจึงตั้งครรภ์ขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ์ด้วยกันทั้งสองคน จึงรักบุตรด้วยกันทั้งคู่ บิดามารดาร่วมประเวณีกันเข้า ถ้ายังไม่ตกสูญก็ยังไม่เกิด ถ้าตกสูญเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น

ที่เรียกว่า ตกสูญ นั้นคือ บิดามารดาทั้งสองสนุกเพลิดเพลินนั้น มันนิ่งแน่น ดึงดูดเหมือนเหล็กตาปูตอก เพลิดเพลินจนตากลับด้วยกันทั้งสองข้าง นั่นแหละมันตกสูญหละ

คือ อายตนะในมดลูกของมารดา มันดึงดูดเอากายแปดศอกออกจากช่องจมูกของบิดา เข้าไปในช่องจมูกของมารดา เข้าไปติดอยู่ในแอ่งมดลูก

แล้วก็น้ำเลี้ยงหัวใจของบิดามารดา ข้างพ่อนิดหนึ่งข้างแม่นิดหนึ่งประสมกันเข้าประมาณเท่าเมล็ดโพธิเมล็ดไทร แล้วกายแปดศอกนั้นก็เข้าไปอยู่ในนั้นได้

เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าเข้าไปเดินจงกรมในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ กายพระพุทธเจ้าก็ไม่เล็กลงไป เมล็ดพันธุ์ผัดกาดก็ไม่ใหญ่ขึ้น วิธีนั้นทีเดียว

หรืออีกนัยหนึ่ง เช่น กระจกวงเดือนเล็กเท่าแว่นตา ส่องภูเขาใหญ่ๆ เข้าไปอยู่ในนั้นได้ ภูเขาก็ไม่เล็กลงไป กระจกก็ไม่ใหญ่ขึ้น แต่อยู่ในกระจกนั้นได้ วิธีเดียวกับที่เรามาเกิดในครรภ์บิดามารดา

เมื่อสายเลือดของบิดามารดาข้นแข็งเป็นก้อนเข้า ก็แตกออกเป็นปัญจสาขา ห้าแห่งเป็นกายมนุษย์ขึ้น เป็นศีรษะ เป็นมือทั้งสอง เท้าทั้งสอง

กายสัมภเวสีที่มาเกิดนั้นก็เล็งลงเท่ากายมนุษย์ ตาตรงกัน หูตรงกัน จมูก ปาก แขนขา ตรงกันหมด เชื่อมติดเป็นกายเดียวกันกับกายมนุษย์ (กายเนื้อ) แล้วก็เจริญใหญ่ขึ้นมาจนคลอดออกจากครรภ์มารดา อย่างนี้เรียกว่า กายมาเกิด

ข้อความนี้ส่วนนี้อีกเช่นเดียว ไม่มีคำอธิบายจากสำนักปฏิบัติใด หรือนักปริยัติใดจะอธิบายได้ดีกว่าวิชาธรรมกาย  ส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดถึงเสียด้วยซ้ำไป

วิธีไปเกิด เมื่อเวลาใกล้จะตายนั้น ธาตุธรรมก็ดึงดูดเอากายมนุษย์กับกายมนุษย์ละเอียด ให้หลุดจากกัน คนไข้กายมนุษย์ก็บิดตัว สะดุ้ง หรือสยิ้วหน้า

พอกายหลุดจากกัน กายทิพย์ก็ตกสูญอยู่ที่เหนือสะดือสองนิ้วมือของกายมนุษย์เท่าไข่แดงของไก่ แล้วเกิดขึ้นเป็นกายสูงแปดศอก เดินออกทางช่องจมูกเที่ยวหาที่เกิดต่อไป ทิ้งกายมนุษย์ไว้ให้เน่าไป

ถ้าผู้ใดเข้าถึงธรรมกายแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจน ผู้ที่ไม่รู้เรื่องก็เดาเอาว่า วิญญาณไปเกิด วิญญาณอย่างเดียวไปเกิดไม่ได้ ต้องไปเกิดทั้งกายจึงจะได้ เพราะกายเราทุกกายที่ซ้อนกันอยู่นั้น

กายหนึ่งๆ ต้องมี หัวใจ สำหรับ จำ
ในหัวใจต้องมี ดวงจิต เท่าดวงตาดำ ลอยอยู่ในน้ำเลี้ยงหัวใจสำหรับ คิด
วิญญาณ ซ้อนอยู่ในดวงจิต เท่าแววตาดำหรือหัวไม้ขีดไฟ สำหรับ รู้ เหมือนกันหมดทุกกาย

จะเห็นว่า ข้อความของหลวงปู่ชั้วเพียงแค่นี้ ก็สามารถทำให้คนอ่านเข้าใจศาสนาพุทธได้อย่างลึกซึ้ง แทบจะไม่ต้องไปอ่านหนังสือของคนอื่นๆ อีกเลย

ในกรณีของสาวกพระพม่านั้น  อ่านให้หมดประเทศพม่า และตามมาอ่านหนังสือของสาวกพระพม่าในเมืองไทยทั้งหมด ก็ยังไม่มีความรู้เท่ากับการอ่านข้อเขียนของหลวงปู่ชั้วแต่เพียงเท่านี้

ประการสำคัญก็คือ การอ่านหนังสือของหลวงปู่ชั้วเพียงแค่นี้ ก็สามารถทำให้ขึ้นสวรรค์ได้แล้ว ผมหมายถึงว่า อ่านแล้วเชื่อ และปฏิบัติตาม

ตอนนี้หลวงปู่ชั้วอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ใครอยากจะไปเยี่ยมเยียนท่านก็สามารถทำได้  ก็อ่านหนังสือแล้วก็ทำตามท่านให้ได้


ง่ายๆ แค่นี้แหละ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น